วัยทอง (Menopause) หมายถึง ภาวะที่สาวๆขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะต่างๆ เช่น นอนไม่หลับ ใจสั่น หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า ขี้น้อยใจง่าย กระดูกพรุน หูรูดกระเพาะปัสสาวะหย่อนหรือเจ็บแสบช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์ เล็บเปราะฉีกขาดง่าย ในบางรายอาจพบโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์)ร่วมด้วย อาการจะมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน และเริ่มแสดงออกเมื่ออายุใกล้จะ 50 เพราะรังไข่จะเริ่มหยุดทำงาน บางครั้งอาการดังกล่าวนี้อาจทำให้สาวๆบางคนโดยเฉพาะสาวโสด มักจะเริ่มรู้สึกกังวลเมื่ออายุไกล้เลข 5 แต่อย่าลืมว่าสาวๆเหล่านี้เป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็น”วัยทอง”ได้ดีที่สุดเพราะ เป็นช่วงชีวิตที่ลงตัวที่สุดทั้งในเรื่องหน้าที่การงาน สังคม และสถานะทางการเงิน


ดังนั้นเราจึงควรมาหาวิธีดูแลตัวเองให้สามารถมีความสุขกับวัยทองของเราและใช้มันให้คุ้มค่าที่สุดโดยเริ่มจาก การไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมื่ออายุของเราเกิน 45 ปี โดยปกติแพทย์มักจะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย เช่นตรวจเต้านมเพื่อเช็คมะเร็งเต้านม ตรวจภายในเพื่อเช็คมะเร็งปากมดลูก ตรวจดูระดับไขมันในเลือด ความหนาแน่นกระดูก ดังนั้นก่อนเราไปพบแพทย์ควรเตรียมประวัติการรักษา(เท่าที่หาได้) ไปด้วยเพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัยและแพทย์สามารถแนะนำยาหรือฮอร์โมนต่างๆให้กับเราได้อย่างเหมาะสม โดยอาการที่พบบ่อยๆหลังได้รับฮอร์โมนคือ อาจเกิดอาการคลื่นไส้ ตึงเต้านม มีเลือดออกกะปริบกะปรอย ในการกินยาครั้งแรกๆ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปในที่สุด ส่วนอาการข้างเคียงระยะยาวที่รุนแรงทำให้เสียชีวิตยังไม่มี แต่นอกจากการรับยาหรือฮอร์โมนเพื่อรักษาอาการผิดปกติต่างๆของภาวะวัยทองแล้ว เรายังต้องดูและตัวเองร่วมด้วยโดยเฉพาะการทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารไขมันต่ำ แคลเซี่ยมสูง เพื่อป้องกันการสูญเสียเนื้อเนื้อกระดูก อาหารที่กากใยหรือไฟเบอร์สูงเพื่อช่วยระบบขับถ่ายที่แย่ลงในวัยทอง ที่สำคัญการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันกระดูกพรุน อีกทั้งทำให้ปอดกับหัวใจแข็งแรง แต่ควรหลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่มีความรุนแรงต่อกระดูก เพื่อหลีกเลี่ยงการกระดูกหักที่มักส่งผลรุนแรงวัยสูงอายุ


นอกจากการวินิจฉัย คำแนะนำ การได้รับยาหรือฮอร์โมน และการดูแลตนเองเบื้อต้นแล้ว เรื่องที่สำคัญคือสาวๆที่อยู่ในวัยทองต้องการ คือ กำลังใจ ความรักความเข้าใจของครอบครัว เพื่อให้พวกเธอมีความสุขอยู่บนโลกใบนี้กับเพื่อนใหม่ที่ชื่อว่าวัยทองได้อย่างมีความสุ


บทความคุณภาพจาก http://www.todayhealth.org/