เผยเหตุผลเบื้องลึก ทำไมมีกฎเรื่องสีชุด

[Virat]

ศึกฟุตบอล ยูโร 2021 ที่ (คาดว่า) จะมาในปีนี้ สิ่งที่ ยูฟ่า ต้องเข้มงวด นอกจากเรื่องสุขอนามัยช่วงโควิด-19 อีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องสีชุดแข่ง ที่พวกเขาพยายามเข้มงวดมาตลอด ในการแข่งขันช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้

เหตุผลคือ เพื่อให้ทุกคนดูฟุตบอลได้แบบ ‘สบายตา’ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า คืออะไรยังไง? สำหรับเรื่องนี้ คำตอบก็เกี่ยวกับเรื่อง ‘สายตา’ นั่นแหละ และไม่ใช่เรื่องไกลตัวนัก ถ้าจะบอกว่า เป็นเรื่องของคนที่ตาบอดสี แน่นอน คนที่ไม่มีปัญหาเรื่องตาบอดสี คงไม่เข้าใจว่า ภาพที่พวกเขาเห็นนั้น เป็นยังไง? ถ้าเทียบกับคนปกติ ซึ่ง ยูฟ่า เองก็ได้ทำเอกสารไกด์บุ๊คเกี่ยวกับฟุตบอล กับโลกของคนตาบอดสีออกมา เพื่อทำให้เข้าใจได้ง่าย

ตัวอย่างเช่น สีทั่วไปที่เรามองเห็นกันเป็นปกตินั้น สำหรับคนตาบอดสีแล้ว จะกลายเป็นสีอะไร ประมาณไหน โดยในเอกสารชื่อ ‘COLOUR BLINDNESS IN FOOTBALL’ มีการทำภาพประกอบให้เห็นกันแบบชัดเจน เริ่มจากเทียบกับสีลูกฟุตบอลแต่ละสี ซึ่งก็พบว่า พวกเขาจะเห็นลูกฟุตบอลสีแดง, สีส้ม สีเขียว เป็นสีเหลือง ขณะที่กลุ่มลูกฟุตบอลโทนสีน้ำเงิน กับสีม่วงนั้น คนตาบอดสี มองเห็นเป็นสีน้ำเงิน หรือสีฟ้าเหมือนกันหมด



ต่อมาในเอกสาร ได้เจาะจงถึงสีชุดแข่งที่เป็นปัญหาของคนตาบอดสีมากที่สุด ประมาณ 5 กลุ่มสีตามนี้ก็คือ
-แดง v ดำ
-แดง v เขียว v ส้ม
-เขียวอ่อน v เหลือง
-ขาว v กลุ่มสีพาสเทล
-ฟ้า/น้ำเงิน v ม่วงเข้ม v ชมพู

ส่วนสีของชุดแข่งที่ช่วยให้คนตาบอดสีดูได้สบายตา ยูฟ่า ได้แนะนำเอาไว้ ก็มีอยู่ประมาณ 5 กลุ่มสีเช่นกัน
-ขาว v ดำ
-แดง v เหลือง
-ดำ v เหลือง
-ฟ้า/น้ำเงิน v แดงอ่อน
-ฟ้า/น้ำเงิน v เหลือง

ซึ่ง ยูฟ่า ก็ยังได้ยกตัวอย่างชุดที่มีการผสมสีที่ดี อย่างเช่น ของ บาร์เซโลน่า ว่า มันทำให้คนตาบอดสีดูง่าย จากเสื้อประจำสโมสรสีแดงลายขวาง ที่จะกลายเป็นสีเหลือง ตัดกับสีน้ำเงินที่ยังคงดูเป็นสีน้ำเงินอยู่นั่นเอง นอกจากนี้ กฎเรื่องสียังครอบคลุมตัวอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย เช่น ลูกฟุตบอล, กรวยฝึกซ้อม หรือกราฟิกในทีวี เป็นต้น

สำหรับเรื่องนี้ อาจดูไม่ได้ง่ายในการบริหารจัดการ เพราะทุกทีมก็มีสีประจำที่ต้องใช้ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งอย่างน้อย ยูฟ่า คาดหวังว่า พวกเขายังมีทางเลือกจากชุดเยือน-ชุด 3 หรือแม้แต่การคอมโบเสื้อ-กางเกง



ทั้งหมด ก็เพื่อให้ทุกคนดูฟุตบอลได้อย่างสนุก-สบายตา ถึงกลุ่มคนตาบอดสีอาจเป็นแค่กลุ่มคนที่มีน้อยมาก เช่น 1 ใน 200 คน สำหรับผู้หญิง หรือ 1 ใน 12 คนสำหรับผู้ชาย แต่ยังไง พวกเขาก็คือ แฟนบอลเหมือนกัน

ที่มา: https://timeout.siamsport.co.th/health/view/222976