ริ้วรอยก่อนวัย เป็นสิ่งที่ใครก็มิพึงปรารถนา แล้วเราจะทำอย่างไร จึงจะมีผิวพรรณสดใส เต่งตึง สมวัย หรือดูอ่อนกว่าวัย
การป้องกันริ้วรอย ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุดังนี้
ความเครียด โบราณท่านว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” เมื่อไรจิตใจเครียดก็เป็นสาเหตุของทุกโรค ไม่เว้นแม้แต่โรคชรา การขมวดคิ้วทำให้เกิดร่องลึก รอยย่นบริเวณหน้าผากและหัวคิ้วอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นควรรู้จักปล่อยวางในสิ่งอันควร (อุเบกขา)
แสงแดด มีอัลตราไวโอเลต เอ บี (UVA , UVB) และรังสีความร้อน (Infrared) จะทำให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย ควรใช้หมวกร่ม เสื้อแขนยาว แต่ถ้าหลีกเลี่ยงแดดไม่ได้ ควรทาครีมกันแดดที่มีมาตรฐาน และป้องกันช่วงคลื่น UVA , UVB และ Infrared ทั้งนี้ควรเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลา 9.00-16.00 น.
การใช้เครื่องสำอางมากชนิดเป็นต้นเหตุของผิวแก่ก่อนวัยได้ สาเหตุที่คนไข้มาพบหมอผิวหนัง อันดับ 1 คือ เรื่องโรคผิวหนังอักเสบ(ECZEMA)
การใช้ครีมบำรุง หรือเครื่องสำอางที่มีสารภูมิแพ้ เช่น น้ำหอม, สารกันเสีย, สารเคมี และสารปรุงแต่งจำนวนมาก ทำให้เป็นผิวหนังอักเสบ(ECZEMA) ผิวหน้าเป็นตุ่ม, เม็ดแดง อาจคันบ้าง อาการเช่นนี้ชั้นผิวหนังจะบางลง และแพ้ง่ายขึ้น (SENSITIVE SKIN) ปัญหาของริ้วรอย รอยดำ ผิวแห้งขาดการบำรุง ก็จะตามมา
แท้จริงแล้วผิวหนังของเราทุกคน จะผลิต moisturizer ที่ดีที่สุด ออกมาทุกวัน ได้แก่ ceramide, free fatty acid และcholesterol ester ในอัตราส่วนที่ไม่เท่ากันในแต่ละคน เพราะฉะนั้นเราควรดูแล moisturizer เหล่านี้ให้สมดุล ด้วยการล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนหรือน้ำเปล่า และไม่จำเป็นต้องใช้ synthetic moisturizer มากเกินจำเป็น
บุหรี่ มีสารนิโคติน ทำให้หลอดเลือด ตีบ อุดตัน ผิวพรรณจะหมองคล้ำ ริ้วรอย จะมากขึ้น ซึ่งเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันคนไทยสูบบุหรี่
ลดลงเยอะมาก
ควรเลือกรับประทานอาหาร เช่น มะละกอ, แครอท เพราะมีสาร B-Carotene ผัก ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว มีวิตามินอี และซี ส่วนในสาว(เหลือ)น้อย หรือวัยทอง อาจพิจารณาฮอร์โมนทดแทน (เอสโตรเจน) เป็นบางรายตามความเหมาะสม
ในกรณีที่เกิดริ้วรอยแล้วเรามีวิธีดูแลรักษาอย่างไร ?
ครีมทาลดริ้วรอย
1. Tretinoine เป็นกรดวิตามิน เอ ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนัง มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่า ลดริ้วรอยได้จริง แต่มีข้อเสียคือ ผิวอาจแพ้ง่าย ผิวแดง เป็นผื่นคัน และต้องใช้วิตามิน เอ 6 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผล
2. AHA, BHA, MHA, PHA เป็นกลุ่มกรดผลไม้และสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ที่กระตุ้นให้มีการสร้าง เส้นใยอีลาสติน (Elastic tissue) ทำให้ผิวชั้นหนังแท้แข็งแรง และลดริ้วรอยได้ดี แต่อาจทำให้ผิวชั้นหนังกำพร้าบางลง ผิวแพ้ง่ายขึ้น และแพ้แสงแดด การจะใช้สารเหล่านี้ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
3. สารลดริ้วรอยอื่นๆ เช่น
o Antioxidant เชื่อว่า ไปลดกรดอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของรอยย่น จึงมีสารเหล่านี้ผสมในครีมลดริ้วรอย หลายชนิด เช่น วิตามิน ซี, อี, ชาเขียว ฯลฯ
o ครีมฮอร์โมนเอสโตรเจน(0.1% estriol) มีการวิจัยในประเทศไทย พบว่า ยาทาชนิดนี้ได้ผลจริง และเพิ่มความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น ให้ผิวหนังได้อย่างมาก
o กรดอะมิโนโปรตีน (Synthetic Hexapeptide) ช่วยยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ (ผ่านกลไก snare complex) ออกฤทธิ์คล้าย Botox ที่ฉีดลดริ้วรอย
การฉีดสารลดริ้วรอย เช่น Collagen, Hyarulonic acid, Botox
สารเหล่านี้ ถ้าผู้ฉีดมีความเชี่ยวชาญก็จะสามารถลดริ้วรอยได้จริง แต่อยู่ได้นานเพียง 6-12 เดือน ขึ้นกับปริมาณ และการกำจัดสารของผิวเซลล์แต่ละคน (metabolize)
การผ่าตัด และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น Laser, IPL, คลื่นวิทยุ(RF), การฝังเข็ม (Acupuncture) การผ่าตัดยกกระชับหน้า (face-lift) ควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะวิธีเหล่านี้อาจมีผลเสียต่อผิวหนัง ถ้าผู้ทำไม่เชี่ยวชาญ และราคาค่าใช้จ่ายสูง
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่เราจะเอาชนะธรรมชาติ คงเป็นได้เพียงแค่ชะลอริ้วรอยที่มากขึ้นตามวัยและอายุ ของเราทุกคน อย่างไรก็ตามหมอคิดว่าเราอย่าดูหรือให้ความสำคัญกับความงามภายนอก จนลืมให้ความสำคัญกับความงามที่อยู่ภายในของเราเลยครับ ความสวยงามที่มาจากภายใน(จิตใจ)ย่อมสำคัญ และมีค่ากว่า เพราะถึงแม้คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามแต่จิตใจไม่ใสสะอาด ก็ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย พูดง่ายๆ ก็คือสวยแต่รูปจูบไม่หอมนั่นเอง สุดท้ายก็เป็นดังกวีโบราณที่ท่านประพันธ์ไว้ “นรชาติจะวางวายมลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา” ไม่เว้นแต่ตัวหมอเองนะครับ