พยายามลดน้ำหนักแทบตาย ทั้งออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร น้ำหนักลงแล้ว แต่ทำไมหน้าท้องเหี่ยว ย้วย ไม่ดูเฟิร์มเลย เราเชื่อหลายคนมีปัญหานี้
งั้นเอาสาระมาพูดกันก่อน คือ ผิวหนังของคนเราแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหน้งแท้ ซึ่งชั้นนี้มีเส้นใยอีลาสติน คอลลาเจน ที่ช่วยเพิ่มความกระชับ ยืดหนุ่นแก่ผิว และชั้นสุดท้าย ชั้นใต้ผิวหนัง ชั้นนี้แหละที่ไขมันอาศัยอยู่ กล่าวคือ ถ้าเรามีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น เซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหนังก็จะยืดขยาย ทำให้ชั้นหนังแท้ขยายตาม เส้นใยอีลาสตินในชั้นหนังแท้ก็จะยืดตัวถาวร ทำให้เกิดรอยแตกลาย สังเกตดีๆ คนที่น้ำหนักลดลงมากๆ จะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าผิวเราจะมีรอยแตกลาย เพราะเหตุนี้ถ้าเราลดน้ำหนักได้เกิน 1 กิโลต่อสัปดาห์ ผิวบริเวณส่วนต่างๆ พุงหรือหน้าท้องก็จะหย่อนยาน เพราะผิวที่เคยขยายได้หดตัวอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าถ้ายิ่งอายุมากขึ้นการฟื้นฟูก็จะยากกว่าคนที่อายุน้อย แล้วทำอย่างไรล่ะ ลดน้ำหนักแล้วหน้าท้องจะไม่ย้วย หย่อนยาน?
– อย่าอดอาหาร
การควบคุมอาหาร โดยการไม่กินอะไรเลยทั้งวัน น้ำเปล่าน้ำเย็นอย่างเดียวไม่เวิร์ก เพราะความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ ถึงแม้น้ำหนักจะลดลง แต่ร่างกายก็ดูโทรมไม่เฟิร์ม นี่แหละเป็นการทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว จากคนที่มีพุงพอกรุบกริบ อยู่ๆ พุงนั้นก็ย้วย หย่อนยานไม่รู้ตัว ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล ปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากจะไม่สามารถกำจัดไขมันในชั้นใต้ผิวหนังได้แล้ว ยังส่งผลเสียต่อชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้อีกด้วย
– รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ลดน้ำหนักก็ทานอาหารได้เป็นปกติ แต่ควรเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ เน้นทานผัก ผลไม้ งดแป้ง แต่ข้าวก็ยังทานได้อยู่นะ ลองเปลี่ยนจากข้าวขาวขัดสีมาเป็นข้าวไรซ์เบอร์รี่แทน นอกจากจะให้พลังงานแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เพราะข้าวไรซ์เบอร์รี่มีสารอาหารสำคัญอยู่ อาทิ วิตามินอี ช่วยชะลอความแก่ ผิวพรรณสดใส มีโอเมก้า 3 กรดไขมันจำเป็น ช่วยการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาท ลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้เส้นใย (Fiber) ในข้าวไรซ์เบอร์รี่ จะช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอลแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ช่วยระบบขับถ่ายอีกด้วย บอกแล้วลดน้ำหนักก็ทานแป้งได้ และที่สำคัญคือ งดไขมัน ของทอดต่างๆ เป็นต้น
– ออกกำลังแบบ แอคทิวิตี้ (Activity) ร่วมด้วย
ไม่ว่าเป็นการปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือวิ่ง การออกกำลังกายเหล่านี้ช่วยเผาผลาญได้ดีทีเดียว ยิ่งการวิ่ง จะช่วยขับเหงื่อและของเสียออกมาตามชั้นผิวหนัง ส่วนแอโรบิคก็ช่วยได้นะ คือ การเต้นแอโรบิคเป็นการกระตุ้นการเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังทุกส่วนเลยล่ะ ไขมันในชั้นใต้ผิวหนังก็จะค่อยๆ สลายออกมาในปริมาณที่เหมาะสม ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ผิวหนังก็จะไม่หย่อนยาน และการเล่นซิตอัพ การ Plank ก็ช่วยได้เหมือนกัน เป็นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนจะช่วยเผาผลาญไขมันหน้าท้อง ให้เต่งตึง กระชับได้อีกด้วย
– ก็ถ้าวิธีดังกล่าวข้างต้นมันเห็นผลช้า ไม่ทันการ พบแพทย์จ้า
เพื่อไม่ให้ขัดกับเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คือเหตุผลดังกล่าวข้างต้นมันต้องใช้ความอดทน แต่ถ้าใครทำแล้วเห็นผลช้า ยากต่อการฟื้นฟู ก็ต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์รักษา เช่น การทำเลเซอร์ การทำคาร์บ็อกซี่ เพื่อไปจัดการกับก้อนไขมัน เป็นต้น ซึ่งการใช้เครื่องมือแพทย์เหล่านี้ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน บางคนต้องทำทุกสัปดาห์อย่างน้อย 1 เดือนกว่าถึงจะเห็นผล ส่วนเรื่องราคาก็ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันของเรานี่แหละ
จะว่าไปการลดน้ำหนักก็มีทั้งผลดีและผลเสียอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเราทำทุกอย่างให้สมดุลกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ผลที่ตามมารับรองว่าดีแน่นอน แต่ของอย่างนี้มันก็ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ใช้ใจล้วนๆ เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ว่าแล้ว เราขอตัวไปวิ่งก่อนเน้ออออ !!
ที่มา : https://timeout.siamsport.co.th/health/view/69581